What's New Here?

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ISO 27001:2022 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ISO 27001:2022 แสดงบทความทั้งหมด

ISMS Internal Audit – หัวใจสำคัญในการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ตามแนวทาง ISO 27001:2022)

การนำระบบการจัดการความปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Management System: ISMS) ตามมาตรฐาน ISO 27001:2022 มาใช้นั้น เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการปกป้องข้อมูลและสารสนเทศอันมีค่าให้รอดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆ อย่างไรก็ตาม การมีระบบที่ดีเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ การตรวจสอบภายใน (Internal Audit) เปรียบเสมือน "กระจกสะท้อน" ที่ช่วยให้องค์กรได้เห็นภาพรวมของการดำเนินงาน ISMS ว่ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามที่คาดหวังไว้หรือไม่




หลักการสำคัญของการตรวจประเมินภายใน ISMS

การตรวจประเมินภายในตามข้อกำหนดของ ISO 27001:2022 (ข้อ 9.2) มีหลักการพื้นฐานที่สำคัญ ดังนี้

  1. ความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม (Objectivity and Impartiality): ผู้ตรวจประเมินภายในควรมีความเป็นอิสระจากพื้นที่หรือกระบวนการที่ตนเองกำลังตรวจประเมิน เพื่อให้การประเมินเป็นไปอย่างเที่ยงตรง ไม่ลำเอียง และสะท้อนสภาพความเป็นจริง

  2. การยึดตามหลักฐาน (Evidence-based Approach): การสรุปผลการตรวจประเมินต้องอ้างอิงจากหลักฐานที่เป็นรูปธรรม เช่น เอกสารบันทึก การสัมภาษณ์ หรือการสังเกตการณ์หน้างาน

  3. การสร้างคุณค่า (Value Addition): การตรวจประเมินไม่เพียงแค่ค้นหาข้อบกพร่อง แต่ควรมุ่งเน้นการให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาระบบ ISMS ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แนวทางในการดำเนินการตรวจประเมินภายใน ISMS

การตรวจประเมินภายใน ISMS ควรดำเนินไปตามขั้นตอนที่เป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด:

  1. การวางแผนโปรแกรมการตรวจประเมิน (Audit Programme Planning): องค์กรควรกำหนดแผนการตรวจประเมินประจำปี โดยพิจารณาจากความสำคัญของแต่ละกระบวนการ ผลการตรวจประเมินครั้งก่อนๆ และการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายในองค์กร แผนนี้ควรกำหนดขอบเขต ความถี่ วิธีการ และผู้รับผิดชอบในการตรวจประเมินแต่ละส่วนไว้อย่างชัดเจน

  2. การวางแผนการตรวจประเมินแต่ละครั้ง (Audit Planning): ก่อนการตรวจประเมินแต่ละครั้ง หัวหน้าคณะผู้ตรวจประเมินควรวางแผนรายละเอียด เช่น กำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขต เกณฑ์การตรวจประเมิน (เช่น ข้อกำหนด ISO 27001:2022, นโยบายและกระบวนการภายในองค์กร) และจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น Checklist

  3. การดำเนินการตรวจประเมิน (Conducting the Audit): ผู้ตรวจประเมินจะทำการเก็บรวบรวมหลักฐานโดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น:

  • การทบทวนเอกสาร (Document Review): ตรวจสอบนโยบาย ขั้นตอนการปฏิบัติงาน บันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ISMS

  • การสัมภาษณ์ (Interviews): สัมภาษณ์บุคลากรในหน่วยงานที่ถูกตรวจ เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการและวิธีการทำงานจริง

  • การสังเกตการณ์ (Observation): สังเกตสภาพแวดล้อมการทำงาน การเข้าถึงพื้นที่ควบคุม หรือการใช้งานระบบสารสนเทศ

  • การสุ่มตรวจ (Sampling): สุ่มตรวจสอบบันทึกหรือข้อมูล เพื่อยืนยันการปฏิบัติตามข้อกำหนด

  1. การรายงานผลการตรวจประเมิน (Audit Reporting): เมื่อดำเนินการตรวจประเมินแล้วเสร็จ ผู้ตรวจประเมินจะสรุปผลการตรวจ รวมถึงการระบุข้อบกพร่อง (Nonconformity) ที่พบ พร้อมหลักฐานสนับสนุน และจัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง

  2. การดำเนินการแก้ไขและป้องกัน (Corrective and Preventive Actions): หน่วยงานที่ถูกตรวจประเมินมีหน้าที่ในการวางแผนและดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องที่พบ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ปัญหาเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก ควรมีการกำหนดผู้รับผิดชอบและระยะเวลาในการดำเนินงานให้ชัดเจน

  3. การติดตามผล (Follow-up): ผู้ตรวจประเมินหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะทำการติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขและป้องกันเพื่อให้มั่นใจว่าข้อบกพร่องได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิผล

ตัวอย่างประกอบ:

สมมติว่าทีมผู้ตรวจประเมินภายในได้ทำการตรวจประเมินกระบวนการจัดการผู้ใช้งานระบบสารสนเทศ (User Access Management) และพบข้อบกพร่องว่า บันทึกการให้สิทธิ์การเข้าถึงระบบของพนักงานที่ลาออกไปแล้วบางส่วนยังไม่มีการอัปเดตและยกเลิกสิทธิ์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในนโยบาย (Nonconformity)

  • หลักฐาน: ทีมผู้ตรวจพบรายชื่อพนักงานที่ลาออกในแผนก A เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่บันทึกการให้สิทธิ์ในระบบงาน X ยังคงแสดงว่าพนักงานคนดังกล่าวยังมีสิทธิ์เข้าถึงอยู่

  • สาเหตุของข้อบกพร่อง (Root Cause): กระบวนการสื่อสารระหว่างฝ่ายบุคคลและทีมผู้ดูแลระบบยังไม่ครอบคลุมและทันท่วงที ทำให้ข้อมูลพนักงานที่ลาออกไม่ถูกส่งต่อเพื่อดำเนินการยกเลิกสิทธิ์ตามกำหนด

  • มาตรการแก้ไข (Corrective Action): ทีมผู้ดูแลระบบดำเนินการยกเลิกสิทธิ์การเข้าถึงระบบงาน X ของพนักงานที่ลาออกทั้งหมดในทันที

  • มาตรการป้องกัน (Preventive Action): กำหนดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างฝ่ายบุคคลและทีมผู้ดูแลระบบทุกสัปดาห์ เพื่อทบทวนรายชื่อพนักงานเข้าใหม่และลาออก พร้อมทั้งกำหนด Checkist ในการดำเนินการให้สิทธิ์และยกเลิกสิทธิ์ให้ครบถ้วน

สรุป:

การตรวจประเมินภายใน ISMS ไม่ใช่เพียงแค่การทำตามข้อกำหนดของมาตรฐาน แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินประสิทธิผลของระบบ ISMS ได้ด้วยตนเอง ค้นหาจุดที่ต้องปรับปรุง และนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการตรวจประเมินอย่างเป็นระบบและยึดตามหลักการที่ถูกต้อง จะช่วยยกระดับความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศขององค์กรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ

ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์ ที่ปรึกษา ISO 27001 pryn@sdxdataverse.com


ISMS Internal Audit – หัวใจสำคัญในการยกระดับความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ตามแนวทาง ISO 27001:2022)

Posted by pryn No comments

การนำระบบการจัดการความปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Management System: ISMS) ตามมาตรฐาน ISO 27001:2022 มาใช้นั้น เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการปกป้องข้อมูลและสารสนเทศอันมีค่าให้รอดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆ อย่างไรก็ตาม การมีระบบที่ดีเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ การตรวจสอบภายใน (Internal Audit) เปรียบเสมือน "กระจกสะท้อน" ที่ช่วยให้องค์กรได้เห็นภาพรวมของการดำเนินงาน ISMS ว่ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามที่คาดหวังไว้หรือไม่




หลักการสำคัญของการตรวจประเมินภายใน ISMS

การตรวจประเมินภายในตามข้อกำหนดของ ISO 27001:2022 (ข้อ 9.2) มีหลักการพื้นฐานที่สำคัญ ดังนี้

  1. ความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม (Objectivity and Impartiality): ผู้ตรวจประเมินภายในควรมีความเป็นอิสระจากพื้นที่หรือกระบวนการที่ตนเองกำลังตรวจประเมิน เพื่อให้การประเมินเป็นไปอย่างเที่ยงตรง ไม่ลำเอียง และสะท้อนสภาพความเป็นจริง

  2. การยึดตามหลักฐาน (Evidence-based Approach): การสรุปผลการตรวจประเมินต้องอ้างอิงจากหลักฐานที่เป็นรูปธรรม เช่น เอกสารบันทึก การสัมภาษณ์ หรือการสังเกตการณ์หน้างาน

  3. การสร้างคุณค่า (Value Addition): การตรวจประเมินไม่เพียงแค่ค้นหาข้อบกพร่อง แต่ควรมุ่งเน้นการให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาระบบ ISMS ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แนวทางในการดำเนินการตรวจประเมินภายใน ISMS

การตรวจประเมินภายใน ISMS ควรดำเนินไปตามขั้นตอนที่เป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด:

  1. การวางแผนโปรแกรมการตรวจประเมิน (Audit Programme Planning): องค์กรควรกำหนดแผนการตรวจประเมินประจำปี โดยพิจารณาจากความสำคัญของแต่ละกระบวนการ ผลการตรวจประเมินครั้งก่อนๆ และการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายในองค์กร แผนนี้ควรกำหนดขอบเขต ความถี่ วิธีการ และผู้รับผิดชอบในการตรวจประเมินแต่ละส่วนไว้อย่างชัดเจน

  2. การวางแผนการตรวจประเมินแต่ละครั้ง (Audit Planning): ก่อนการตรวจประเมินแต่ละครั้ง หัวหน้าคณะผู้ตรวจประเมินควรวางแผนรายละเอียด เช่น กำหนดวัตถุประสงค์ ขอบเขต เกณฑ์การตรวจประเมิน (เช่น ข้อกำหนด ISO 27001:2022, นโยบายและกระบวนการภายในองค์กร) และจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น Checklist

  3. การดำเนินการตรวจประเมิน (Conducting the Audit): ผู้ตรวจประเมินจะทำการเก็บรวบรวมหลักฐานโดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น:

  • การทบทวนเอกสาร (Document Review): ตรวจสอบนโยบาย ขั้นตอนการปฏิบัติงาน บันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ISMS

  • การสัมภาษณ์ (Interviews): สัมภาษณ์บุคลากรในหน่วยงานที่ถูกตรวจ เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการและวิธีการทำงานจริง

  • การสังเกตการณ์ (Observation): สังเกตสภาพแวดล้อมการทำงาน การเข้าถึงพื้นที่ควบคุม หรือการใช้งานระบบสารสนเทศ

  • การสุ่มตรวจ (Sampling): สุ่มตรวจสอบบันทึกหรือข้อมูล เพื่อยืนยันการปฏิบัติตามข้อกำหนด

  1. การรายงานผลการตรวจประเมิน (Audit Reporting): เมื่อดำเนินการตรวจประเมินแล้วเสร็จ ผู้ตรวจประเมินจะสรุปผลการตรวจ รวมถึงการระบุข้อบกพร่อง (Nonconformity) ที่พบ พร้อมหลักฐานสนับสนุน และจัดทำรายงานเสนอต่อผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง

  2. การดำเนินการแก้ไขและป้องกัน (Corrective and Preventive Actions): หน่วยงานที่ถูกตรวจประเมินมีหน้าที่ในการวางแผนและดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องที่พบ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้ปัญหาเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก ควรมีการกำหนดผู้รับผิดชอบและระยะเวลาในการดำเนินงานให้ชัดเจน

  3. การติดตามผล (Follow-up): ผู้ตรวจประเมินหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะทำการติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขและป้องกันเพื่อให้มั่นใจว่าข้อบกพร่องได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิผล

ตัวอย่างประกอบ:

สมมติว่าทีมผู้ตรวจประเมินภายในได้ทำการตรวจประเมินกระบวนการจัดการผู้ใช้งานระบบสารสนเทศ (User Access Management) และพบข้อบกพร่องว่า บันทึกการให้สิทธิ์การเข้าถึงระบบของพนักงานที่ลาออกไปแล้วบางส่วนยังไม่มีการอัปเดตและยกเลิกสิทธิ์ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในนโยบาย (Nonconformity)

  • หลักฐาน: ทีมผู้ตรวจพบรายชื่อพนักงานที่ลาออกในแผนก A เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่บันทึกการให้สิทธิ์ในระบบงาน X ยังคงแสดงว่าพนักงานคนดังกล่าวยังมีสิทธิ์เข้าถึงอยู่

  • สาเหตุของข้อบกพร่อง (Root Cause): กระบวนการสื่อสารระหว่างฝ่ายบุคคลและทีมผู้ดูแลระบบยังไม่ครอบคลุมและทันท่วงที ทำให้ข้อมูลพนักงานที่ลาออกไม่ถูกส่งต่อเพื่อดำเนินการยกเลิกสิทธิ์ตามกำหนด

  • มาตรการแก้ไข (Corrective Action): ทีมผู้ดูแลระบบดำเนินการยกเลิกสิทธิ์การเข้าถึงระบบงาน X ของพนักงานที่ลาออกทั้งหมดในทันที

  • มาตรการป้องกัน (Preventive Action): กำหนดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างฝ่ายบุคคลและทีมผู้ดูแลระบบทุกสัปดาห์ เพื่อทบทวนรายชื่อพนักงานเข้าใหม่และลาออก พร้อมทั้งกำหนด Checkist ในการดำเนินการให้สิทธิ์และยกเลิกสิทธิ์ให้ครบถ้วน

สรุป:

การตรวจประเมินภายใน ISMS ไม่ใช่เพียงแค่การทำตามข้อกำหนดของมาตรฐาน แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินประสิทธิผลของระบบ ISMS ได้ด้วยตนเอง ค้นหาจุดที่ต้องปรับปรุง และนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การดำเนินการตรวจประเมินอย่างเป็นระบบและยึดตามหลักการที่ถูกต้อง จะช่วยยกระดับความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศขององค์กรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมรับมือกับความท้าทายด้านความปลอดภัยในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ

ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์ ที่ปรึกษา ISO 27001 pryn@sdxdataverse.com


ภัยคุกคามและช่องโหว่: องค์ประกอบสำคัญในการจัดการความเสี่ยงตาม ISO 27001

 


ในบริบทของมาตรฐาน ISO 27001 ว่าด้วยระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISMS) "ภัยคุกคาม" (Threat) และ "ช่องโหว่" (Vulnerability) เป็นสององค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด และเป็นพื้นฐานสำคัญในการประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศขององค์กร

ความหมายและความแตกต่าง

  • ภัยคุกคาม (Threat): หมายถึง สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ของการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องครบถ้วน (Integrity) และสภาพความพร้อมใช้งาน (Availability) ของสารสนเทศ ภัยคุกคามอาจมีที่มาจากหลายแหล่ง เช่น ผู้ไม่หวังดีภายในองค์กร ผู้ไม่หวังดีภายนอกองค์กร ภัยธรรมชาติ หรือความผิดพลาดของระบบ  

  • ช่องโหว่ (Vulnerability): หมายถึง จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องในสินทรัพย์ (Asset) หรือมาตรการควบคุม ซึ่งภัยคุกคามอาจใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้เพื่อก่อให้เกิดความเสียหาย ช่องโหว่อาจอยู่ในรูปแบบของความผิดพลาดในการออกแบบระบบ การตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม หรือการขาดมาตรการควบคุมที่เพียงพอ   

ความสัมพันธ์และการนำไปใช้ใน ISO 27001

ISO 27001 กำหนดให้องค์กรต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ โดยในการประเมินความเสี่ยงนั้น องค์กรต้องพิจารณาทั้งภัยคุกคามและช่องโหว่ที่เกี่ยวข้อง    

  • องค์กรต้องระบุภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับสารสนเทศขององค์กร และวิเคราะห์ว่าภัยคุกคามเหล่านั้นมีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ใดได้บ้าง

  • การประเมินความเสี่ยงต้องพิจารณาทั้งโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคาม (Likelihood) และผลกระทบ (Impact) ที่อาจเกิดขึ้นหากภัยคุกคามนั้นเกิดขึ้นจริง    

  • ผลลัพธ์จากการประเมินความเสี่ยงจะนำไปใช้ในการกำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคาม หรือลดผลกระทบหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น    

ผลลัพธ์และประโยชน

การทำความเข้าใจและจัดการกับภัยคุกคามและช่องโหว่อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรสามารถ

  • ระบุความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำ

  • กำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

  • ลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ และลดความเสียหายหากเกิดขึ้น

  • สร้างระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

โดยสรุป ภัยคุกคามและช่องโหว่เป็นสององค์ประกอบสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสนใจในการจัดการความเสี่ยงตามมาตรฐาน ISO 27001 การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภัยคุกคามและช่องโหว่ และการนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการประเมินและจัดการความเสี่ยง จะช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องสารสนเทศของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์ ที่ปรึกษา ISO 27001 pryn@sdxdataverse.com

ภัยคุกคามและช่องโหว่: องค์ประกอบสำคัญในการจัดการความเสี่ยงตาม ISO 27001

Posted by pryn No comments

 


ในบริบทของมาตรฐาน ISO 27001 ว่าด้วยระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISMS) "ภัยคุกคาม" (Threat) และ "ช่องโหว่" (Vulnerability) เป็นสององค์ประกอบสำคัญที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด และเป็นพื้นฐานสำคัญในการประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศขององค์กร

ความหมายและความแตกต่าง

  • ภัยคุกคาม (Threat): หมายถึง สาเหตุที่อาจเป็นไปได้ของการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องครบถ้วน (Integrity) และสภาพความพร้อมใช้งาน (Availability) ของสารสนเทศ ภัยคุกคามอาจมีที่มาจากหลายแหล่ง เช่น ผู้ไม่หวังดีภายในองค์กร ผู้ไม่หวังดีภายนอกองค์กร ภัยธรรมชาติ หรือความผิดพลาดของระบบ  

  • ช่องโหว่ (Vulnerability): หมายถึง จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องในสินทรัพย์ (Asset) หรือมาตรการควบคุม ซึ่งภัยคุกคามอาจใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้เพื่อก่อให้เกิดความเสียหาย ช่องโหว่อาจอยู่ในรูปแบบของความผิดพลาดในการออกแบบระบบ การตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม หรือการขาดมาตรการควบคุมที่เพียงพอ   

ความสัมพันธ์และการนำไปใช้ใน ISO 27001

ISO 27001 กำหนดให้องค์กรต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ โดยในการประเมินความเสี่ยงนั้น องค์กรต้องพิจารณาทั้งภัยคุกคามและช่องโหว่ที่เกี่ยวข้อง    

  • องค์กรต้องระบุภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นกับสารสนเทศขององค์กร และวิเคราะห์ว่าภัยคุกคามเหล่านั้นมีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ใดได้บ้าง

  • การประเมินความเสี่ยงต้องพิจารณาทั้งโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคาม (Likelihood) และผลกระทบ (Impact) ที่อาจเกิดขึ้นหากภัยคุกคามนั้นเกิดขึ้นจริง    

  • ผลลัพธ์จากการประเมินความเสี่ยงจะนำไปใช้ในการกำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดภัยคุกคาม หรือลดผลกระทบหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น    

ผลลัพธ์และประโยชน

การทำความเข้าใจและจัดการกับภัยคุกคามและช่องโหว่อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้องค์กรสามารถ

  • ระบุความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำ

  • กำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

  • ลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ และลดความเสียหายหากเกิดขึ้น

  • สร้างระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

โดยสรุป ภัยคุกคามและช่องโหว่เป็นสององค์ประกอบสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสนใจในการจัดการความเสี่ยงตามมาตรฐาน ISO 27001 การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภัยคุกคามและช่องโหว่ และการนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการประเมินและจัดการความเสี่ยง จะช่วยให้องค์กรสามารถปกป้องสารสนเทศของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์ ที่ปรึกษา ISO 27001 pryn@sdxdataverse.com

Risk-Based Approach ใน ISO 27001: หัวใจสำคัญของการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ




มาตรฐาน ISO 27001 ว่าด้วยระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISMS) มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การนำ "Risk-Based Approach" หรือแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงมาประยุกต์ใช้ ซึ่งไม่ใช่เพียงการระบุและประเมินความเสี่ยง แต่ยังรวมถึงการจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

ที่มาและความสำคัญ

แนวคิด Risk-Based Approach ใน ISO 27001 มีที่มาจากหลักการที่ว่าแต่ละองค์กรมีบริบท ความเสี่ยง และความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศที่แตกต่างกันไป ดังนั้น การกำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงจึงไม่สามารถใช้แนวทางเดียวกันได้ทั้งหมด แต่ต้องพิจารณาจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละองค์กรเป็นสำคัญ    

หลักการและการนำไปใช้

ISO 27001 กำหนดให้องค์กรต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยมีขั้นตอนสำคัญคือ   

  1. การกำหนดเกณฑ์การประเมินความเสี่ยง: ซึ่งรวมถึงเกณฑ์การยอมรับความเสี่ยงและเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยง    

  2. การระบุความเสี่ยง: โดยพิจารณาจากประเด็นทั้งภายนอกและภายในองค์กรที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศ  

  3. การวิเคราะห์ความเสี่ยง: เพื่อประเมินโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น    

  4. การประเมินความเสี่ยง: เพื่อจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงสำหรับการจัดการ  

  5. การจัดการความเสี่ยง: ซึ่งรวมถึงการเลือกมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม การจัดทำแผนจัดการความเสี่ยง และการขออนุมัติแผนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย    

ผลลัพธ์และประโยชน์

การนำ Risk-Based Approach มาใช้ใน ISO 27001 ช่วยให้องค์กรสามารถ

  • กำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ    

  • จัดสรรทรัพยากรด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศได้อย่างคุ้มค่า    

  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าองค์กรมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศอย่างเหมาะสม    

  • ปรับปรุงระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง    

โดยสรุป Risk-Based Approach เป็นหลักการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทขององค์กร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบ ISMS ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน


ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์   ที่ปรึกษา ISO27001 pryn@sdxdataverse.com

Risk-Based Approach ใน ISO 27001: หัวใจสำคัญของการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

Posted by pryn No comments




มาตรฐาน ISO 27001 ว่าด้วยระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (ISMS) มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การนำ "Risk-Based Approach" หรือแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงมาประยุกต์ใช้ ซึ่งไม่ใช่เพียงการระบุและประเมินความเสี่ยง แต่ยังรวมถึงการจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

ที่มาและความสำคัญ

แนวคิด Risk-Based Approach ใน ISO 27001 มีที่มาจากหลักการที่ว่าแต่ละองค์กรมีบริบท ความเสี่ยง และความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศที่แตกต่างกันไป ดังนั้น การกำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงจึงไม่สามารถใช้แนวทางเดียวกันได้ทั้งหมด แต่ต้องพิจารณาจากปัจจัยเฉพาะของแต่ละองค์กรเป็นสำคัญ    

หลักการและการนำไปใช้

ISO 27001 กำหนดให้องค์กรต้องดำเนินการประเมินความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยมีขั้นตอนสำคัญคือ   

  1. การกำหนดเกณฑ์การประเมินความเสี่ยง: ซึ่งรวมถึงเกณฑ์การยอมรับความเสี่ยงและเกณฑ์ในการประเมินความเสี่ยง    

  2. การระบุความเสี่ยง: โดยพิจารณาจากประเด็นทั้งภายนอกและภายในองค์กรที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของสารสนเทศ  

  3. การวิเคราะห์ความเสี่ยง: เพื่อประเมินโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น    

  4. การประเมินความเสี่ยง: เพื่อจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงสำหรับการจัดการ  

  5. การจัดการความเสี่ยง: ซึ่งรวมถึงการเลือกมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสม การจัดทำแผนจัดการความเสี่ยง และการขออนุมัติแผนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย    

ผลลัพธ์และประโยชน์

การนำ Risk-Based Approach มาใช้ใน ISO 27001 ช่วยให้องค์กรสามารถ

  • กำหนดมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ    

  • จัดสรรทรัพยากรด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศได้อย่างคุ้มค่า    

  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าองค์กรมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศอย่างเหมาะสม    

  • ปรับปรุงระบบการจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง    

โดยสรุป Risk-Based Approach เป็นหลักการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทขององค์กร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบ ISMS ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน


ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์   ที่ปรึกษา ISO27001 pryn@sdxdataverse.com

ISO 27001:2022 การปรับปรุง (Improvement)

 


    การปรับปรุง (Improvement) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนา ISMS อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ISMS มีความเหมาะสม เพียงพอ และมีประสิทธิผลอยู่เสมอ โดย Clause 10 ในมาตรฐาน ISO 27001:2022 กำหนดให้มีการปรับปรุง 2 ส่วน คือ


1. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continual improvement)

ISMS ไม่ใช่สิ่งที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของภัยคุกคาม (Threats) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี (Technology) และการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย (Laws and regulations)

องค์กรต้องปรับปรุงความเหมาะสม ความเพียงพอ และประสิทธิผลของ ISMS อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการประเมินสมรรถนะ (Performance evaluation) เช่น

  • ผลการตรวจสอบภายใน (Internal audit): ข้อมูลจากการตรวจสอบภายใน (Internal audit) จะช่วยให้องค์กรทราบถึงจุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ของ ISMS รวมถึงข้อบกพร่อง (Nonconformities) ที่ต้องแก้ไข
  • ผลการทบทวนโดยฝ่ายบริหาร (Management review): การทบทวนโดยฝ่ายบริหาร (Management review) จะช่วยให้องค์กรเห็นภาพรวมของ ISMS และตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับปรุง ISMS
  • ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Interested parties): ข้อมูลย้อนกลับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น พนักงาน (Employees) ลูกค้า (Customers) และคู่ค้า (Partners) จะช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงความต้องการ (Needs) และความคาดหวัง (Expectations) ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนำไปสู่การปรับปรุง ISMS ให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง:

  • ปรับปรุงนโยบาย (Policy) และขั้นตอน (Procedures) ให้ทันสมัย
  • เพิ่มเติมมาตรการควบคุม (Controls) ใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
  • พัฒนาความตระหนัก (Awareness) ของพนักงานเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการเหตุการณ์ (Incident management)


2. การแก้ไขข้อบกพร่อง (Corrective action)

เมื่อเกิดข้อบกพร่อง (Nonconformity) ใน ISMS องค์กรต้องดำเนินการแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก

ขั้นตอนการแก้ไขข้อบกพร่อง:

  • แก้ไขข้อบกพร่อง และจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น: เช่น หากเกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (Data breach) องค์กรต้องดำเนินการแก้ไข เช่น ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล (Block access) และแจ้งให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ (Notify affected individuals) ทราบ
  • ประเมินสาเหตุของข้อบกพร่อง: เช่น วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (Data breach) เช่น อาจเกิดจาก Password ที่อ่อนแอ (Weak password) หรือ Software ที่มีช่องโหว่ (Vulnerability)
  • ดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก: เช่น กำหนดให้พนักงานใช้ Password ที่แข็งแกร่ง (Strong password) และอัพเดต Software เป็นเวอร์ชันล่าสุด (Latest version)
  • ทบทวนประสิทธิผลของการแก้ไข: เช่น ติดตาม (Monitor) จำนวนเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (Data breach) หลังจากดำเนินการแก้ไข เพื่อดูว่าจำนวนเหตุการณ์ลดลงหรือไม่

ตัวอย่างข้อบกพร่อง:

  • พนักงานไม่ปฏิบัติตามนโยบาย (Policy) และขั้นตอน (Procedures)
  • มาตรการควบคุม (Controls) ไม่มีประสิทธิภาพ
  • เกิดเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information security incident)

การปรับปรุง ISMS อย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขข้อบกพร่อง จะช่วยให้องค์กรสามารถ

  • รับมือกับภัยคุกคาม (Threats) ที่เปลี่ยนแปลงไป
  • สนับสนุนวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ (Business objectives) ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความเชื่อมั่น (Confidence) ให้กับลูกค้า (Customers) และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Interested parties) อื่น ๆ

    โดยสรุป เรื่องนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุง ISMS อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ISMS มีความเหมาะสม เพียงพอ และมีประสิทธิผลอยู่เสมอ และสามารถสนับสนุนวัตถุประสงค์ทางธุรกิจขององค์กรได้

ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์ CISA,CEH,CC ที่ปรึกษา ISO 27001  mr.pryn@gmail.com

ISO 27001:2022 การปรับปรุง (Improvement)

Posted by pryn No comments

 


    การปรับปรุง (Improvement) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนา ISMS อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ISMS มีความเหมาะสม เพียงพอ และมีประสิทธิผลอยู่เสมอ โดย Clause 10 ในมาตรฐาน ISO 27001:2022 กำหนดให้มีการปรับปรุง 2 ส่วน คือ


1. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continual improvement)

ISMS ไม่ใช่สิ่งที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของภัยคุกคาม (Threats) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี (Technology) และการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย (Laws and regulations)

องค์กรต้องปรับปรุงความเหมาะสม ความเพียงพอ และประสิทธิผลของ ISMS อย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการประเมินสมรรถนะ (Performance evaluation) เช่น

  • ผลการตรวจสอบภายใน (Internal audit): ข้อมูลจากการตรวจสอบภายใน (Internal audit) จะช่วยให้องค์กรทราบถึงจุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ของ ISMS รวมถึงข้อบกพร่อง (Nonconformities) ที่ต้องแก้ไข
  • ผลการทบทวนโดยฝ่ายบริหาร (Management review): การทบทวนโดยฝ่ายบริหาร (Management review) จะช่วยให้องค์กรเห็นภาพรวมของ ISMS และตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับปรุง ISMS
  • ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Interested parties): ข้อมูลย้อนกลับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น พนักงาน (Employees) ลูกค้า (Customers) และคู่ค้า (Partners) จะช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงความต้องการ (Needs) และความคาดหวัง (Expectations) ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนำไปสู่การปรับปรุง ISMS ให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่างการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง:

  • ปรับปรุงนโยบาย (Policy) และขั้นตอน (Procedures) ให้ทันสมัย
  • เพิ่มเติมมาตรการควบคุม (Controls) ใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่
  • พัฒนาความตระหนัก (Awareness) ของพนักงานเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการเหตุการณ์ (Incident management)


2. การแก้ไขข้อบกพร่อง (Corrective action)

เมื่อเกิดข้อบกพร่อง (Nonconformity) ใน ISMS องค์กรต้องดำเนินการแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก

ขั้นตอนการแก้ไขข้อบกพร่อง:

  • แก้ไขข้อบกพร่อง และจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น: เช่น หากเกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (Data breach) องค์กรต้องดำเนินการแก้ไข เช่น ปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล (Block access) และแจ้งให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ (Notify affected individuals) ทราบ
  • ประเมินสาเหตุของข้อบกพร่อง: เช่น วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (Data breach) เช่น อาจเกิดจาก Password ที่อ่อนแอ (Weak password) หรือ Software ที่มีช่องโหว่ (Vulnerability)
  • ดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก: เช่น กำหนดให้พนักงานใช้ Password ที่แข็งแกร่ง (Strong password) และอัพเดต Software เป็นเวอร์ชันล่าสุด (Latest version)
  • ทบทวนประสิทธิผลของการแก้ไข: เช่น ติดตาม (Monitor) จำนวนเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหล (Data breach) หลังจากดำเนินการแก้ไข เพื่อดูว่าจำนวนเหตุการณ์ลดลงหรือไม่

ตัวอย่างข้อบกพร่อง:

  • พนักงานไม่ปฏิบัติตามนโยบาย (Policy) และขั้นตอน (Procedures)
  • มาตรการควบคุม (Controls) ไม่มีประสิทธิภาพ
  • เกิดเหตุการณ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information security incident)

การปรับปรุง ISMS อย่างต่อเนื่อง และการแก้ไขข้อบกพร่อง จะช่วยให้องค์กรสามารถ

  • รับมือกับภัยคุกคาม (Threats) ที่เปลี่ยนแปลงไป
  • สนับสนุนวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ (Business objectives) ขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความเชื่อมั่น (Confidence) ให้กับลูกค้า (Customers) และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Interested parties) อื่น ๆ

    โดยสรุป เรื่องนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับปรุง ISMS อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ISMS มีความเหมาะสม เพียงพอ และมีประสิทธิผลอยู่เสมอ และสามารถสนับสนุนวัตถุประสงค์ทางธุรกิจขององค์กรได้

ผู้เขียน ปริญญ์ เสรีพงศ์ CISA,CEH,CC ที่ปรึกษา ISO 27001  mr.pryn@gmail.com

Latest Tweets

ขับเคลื่อนโดย Blogger.
back to top